เมนู

7. อิตถีวรรค


1. อสาตมันตชาดก


ว่าด้วยหญิงเลวทราม


[61] "ขึ้นชื่อว่าหญิงในโลกนี้เลวทราม เพราะ
หญิงเหล่านั้น ไม่มีเขตแดน มีแต่ความกำหนัด
ยินดี คึกคะนองไม่มีเลือก เหมือนไฟที่ไหม้ไม่
เลือกฉะนั้น เราจักละทิ้งหญิงเหล่านั้นไปบวช
เพิ่มพูนวิเวก"

จบ อสาตมันตชาดกที่ 1

อรรถกถาอิตถีวรรคที่ 7


อรรถกถาอสาตมันตชาดกที่ 1


พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อาสา โลกิตฺถิโย นาม ดังนี้.
เรื่องของภิกษุนั้น จักแจ่มแจ้งในอุมมาทยันตีชาดก.
(เรื่องย่อ ๆ มีว่า) ก็พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ
ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมาก ไม่น่ายินดี ไร้สติ ลามก เป็นผู้มีเบื้องหลัง

เธอจะกระสันปั่นป่วนเพราะหญิงเลว ๆ เช่นนี้ทำไม แล้วทรงนำ
เรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ เมือง
ตักกสิลา คันธารรัฐ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เรียนจบไตรเพท
และศิลปะทั้งปวง ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์. ดังนั้น ใน
กรุงพาราณสีมีตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง ตั้งแต่วันที่บุตร
เกิด ก็จุดไฟตั้งไว้ไม่ให้ดับเลย. ครั้นในเวลาที่พราหมณกุมาร
มีอายุได้ 16 มารดาบิดาจึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย เราจุดไฟตั้งไว้
ในวันที่เจ้าเกิดเรื่อยมา หากเจ้าประสงค์จะไปสู่พรหมโลก
จงถือไฟนั้นเข้าป่า บูชาพระอัคนีเทพเจ้า ก็จะไปถึงพรหมโลกได้
ถ้าประสงค์จะครองเรือน ก็จงไปสู่เมืองตักกสิลา เล่าเรียน
ศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แล้วตั้งหลักฐานเถิด.
มาณพกล่าวว่า ฉันไม่อาจจะเข้าป่าบูชาไฟ มุ่งจะตั้งหลักฐาน
เท่านั้น แล้วกราบมารดาบิดา รับเอาเงินพันกษาปณ์ เป็น
ค่าคำนับอาจารย์ เดินทางไปเมืองตักกสิลา เล่าเรียนศิลปะ
แล้วกลับมา แต่มารดาบิดาของเขาไม่ต้องการให้ครองเรือน
ต้องการให้เขาบำเรอไฟอยู่ในป่า. ลำดับนั้น มารดาปรารถนา
จะสำแดงโทษของสตรีส่วนมาก แล้วส่งเขาเข้าป่า จึงดำริว่า
อาจารย์นั้นคงเป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด สามารถจะบอกโทษ
แห่งสตรีส่วนมากแก่ลูกของเราได้ จึงกล่าวว่า ลูกรัก เจ้าเรียน

ศิลปะสำเร็จแล้วหรือ ? มาณพตอบว่า ครับ คุณแม่. มารดา
จึงกล่าวว่า แม้อสาตมนต์เจ้าก็เรียนแล้วหรือ ?. มาณพตอบว่า
ยังไม่ได้เรียนครับ คุณแม่. มารดากล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเจ้ายัง
ไม่ได้เรียนอสาตมนต์แล้ว จะเรียกว่า เรียนศิลปะสำเร็จแล้ว
ไม่ได้ ไปเถิด ไปเรียนแล้วค่อยมา. มาณพรับคำแล้ว ก็มุ่งหน้าไป
กรุงตักกสิลาอีก. แม้มารดาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้น เป็น
หญิงชรา อายุ 120 ปี อาจารย์อาบน้ำให้มารดาด้วยมือของ
ตนเอง หาอาหารให้บริโภคเอง หาน้ำให้ดื่มเอง ปรนนิบัติมารดา
อยู่ มนุษย์เหล่าอื่น พากันรังเกียจอาจารย์ผู้กระทำอย่างนั้น.
อาจารย์ดำริว่า อย่ากระนั้นเลย เราเข้าป่า ปรนนิบัติมารดา
ในป่านั้นอยู่เถิด. ครั้นแล้วก็จักการสร้างบรรณศาลา ในที่มี
น้ำท่าสะดวก ในป่าอันเงียบสงัด ตำบลหนึ่ง เสร็จแล้วขนสิ่งของ
มีเนย และข้าวสารเป็นต้น มาสำรองไว้ อุ้มมารดาพาไปที่นั้น
ปรนนิบัติมารดา อยู่สืบมา.
ฝ่ายมาณพไปถึงเมืองตักกสิลาแล้ว ไม่พบอาจารย์ ก็
สอบถามว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ? ครั้นฟังเรื่องราวนั้นแล้ว
ก็ไปในป่านั้น ไหว้อาจารย์แล้วยืนอยู่. ครั้งนั้นอาจารย์ถามเขา
ว่า พ่อมหาจำเริญ เรื่องราวเป็นอย่างไร เจ้าจึงกลับมาเร็วนัก ?
มาณพตอบว่า ท่านอาจารย์ยังไม่ได้ให้ผมเรียน อสาตมนต์เลย
มิใช่หรือขอรับ ?

อ. ใครกล่าวเคี่ยวเข็ญให้เจ้าเรียนอสาตมนต์ให้ได้ ?
มาณพ. มารดาของกระผมขอรับท่านอาจารย์.
พระโพธิสัตว์ดำริว่า มนต์อะไร ๆ ที่มีชื่อว่า อสาตมนต์
ไม่มีเลย แต่มารดาของมาณพนี้ คงประสงค์ให้เขารู้โทษของ
สตรีเป็นแน่ จึงกล่าวว่า ดีละ พ่อคุณ เราจักให้อสาตมนต์แก่เจ้า
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงทำหน้าที่แทนเรา ให้มารดาของเรา
อาบน้ำด้วยมือของตน ให้บริโภค ให้ดื่ม ปรนนิบัติสม่ำเสมอ
อนึ่งเมื่อเจ้านวดมือเท้าศีรษะและหลังของมารดาเรา ต้องพูด
ยกย่องมือเท้าเป็นต้น ในเวลาที่กำลังบีบนวดว่า คุณแม่ครับ ถึง
คุณแม่จะแก่เฒ่าแล้ว ร่างกายของคุณแม่ก็ยังดูกระชุ่มกระชวย
ในยามที่คุณแม่ยังสาว ร่างกายของคุณแม่สวยสะคราญปาน
ไฉน ? ก็แลมารดาของเรากล่าวคำใดกะเจ้า เจ้าไม่ต้องอาย
ไม่ต้องอำพราง บอกคำนั้นแก่เราเถิด เจ้าทำอย่างนี้จึงจะได้
อสาตมนต์ ไม่ทำก็ไม่ได้. มาณพรับคำว่า ดีแล้วครับท่านอาจารย์
เริ่มแต่วันนี้ ก็กระทำตามข้อที่อาจารย์ชี้แจงทุกอย่าง เมื่อมาณพ
รำพรรณบ่อย ๆ นางก็สำคัญว่า มาณพนี้ต้องการจะอภิรมย์
กับเราเป็นแม่นมั่น ทั้ง ๆ ที่แก่เฒ่า ตามืดมน กิเลสก็ยังเกิดขึ้น
ในสันดานได้. วันหนึ่ง นางจึงกล่าวกะมาณพกำลังกล่าวสรร-
เสริญร่างกายของตนอยู่ว่า เธอปรารถนาจะร่วมอภิรมย์กับเรา
หรือ ?

มาณพ. คุณแม่ครับ ผมปรารถนานักแล้ว แต่ (มาติดอยู่ตรง)
ท่านอาจารย์เป็นที่ยำเกรงหนัก.
มารดา. ถ้าเธอปรารถนาฉันละก็ จงฆ่าลูกฉันเสียเถิด.
มาณพ. ผมเล่าเรียนศิลปะถึงเพียงนี้ ในสำนักของท่าน-
อาจารย์ จะมาฆ่าอาจารย์ เพราะอาศัยเหตุเพียงกิเลส ก็ดู
กระไรอยู่
มารดา. ถ้าเช่นนั้น ถ้าเธอไม่ทอดทิ้งฉันจริง ฉันนี่แหละ
จะฆ่าเขาเสียเอง.
ขึ้นชื่อว่า หญิง ส่วนมากไม่น่ายินดี ลามก มีลับลมคมใน
อย่างนี้ ถึงจะแก่ปานนั้น ก็ยังร่านรัก เริงชู้ ถึงกับมุ่งฆ่าลูก
ผู้มีอุปการะเห็นปานนี้ เสียก็ได้.
มาณพบอกถ้อยคำทั้งหมดนั้น แก่พระโพธิสัตว์. พระ-
โพธิสัตว์กล่าวว่า ที่เธอบอกมาทุกอย่างนั้น เธอทำถูกแล้ว.
เมื่อตรวจดูอายุสังขารของมารดา ก็รู้ว่า ต้องตายในวันนี้เป็นแน่
จงกล่าวว่า มาเถิดมาณพ เราต้องทดลองดู จึงตัดไม้มะเดื่อเข้า
ต้นหนึ่ง ทำรูปหุ่นเท่าตน คลุมเสียทั่วร่าง วางนอนหงายไว้
เหนือที่นอนของตน ผูกราวเชือกไว้ แล้วกล่าวกะศิษย์ว่า พ่อคุณ
เธอจงถือขวานไป ให้สัญญาแก่มารดาของเรา. มาณพก็ไป
บอกว่า คุณแม่ครับ ท่านอาจารย์นอนเหนือที่นอนของตน บน
บรรณศาลา ผมผูกราวเชือกไว้เป็นสำคัญ คุณแม่ถือขวานเล่มนี้
ถ้าสามารถจะฆ่าได้ ก็จงฆ่าเสีย.

นางกล่าวว่า เธอต้องไม่ทอดทิ้งฉันแน่นะ !
มาณพ. เหตุไร ผมจักทอดทิ้งเล่า ขอรับ.
นางจึงจับขวาน งก ๆ เงิ่น ๆ เดินไปตามราวเชือก เอา
มือคลำดู สำคัญแน่ว่า นี่ลูกของเรา แล้วเลิกผ้าห่มส่วนหน้าของ
รูปหุ่นออก เงื้อขวานด้วยคิดว่า จักฟันหนเดียวให้ตายคาที่ แล้ว
ฟันตรงคอทีเดียว เมื่อเกิดเสียงดังกระด้าง จึงได้ทราบว่า ที่ตน
ฟันนั้นเป็นไม้. ครั้นพระโพธิสัตว์ถามว่า คุณแม่ทำอะไร ขอรับ
ก็ได้คิดว่า เราถูกลวงเสียแล้ว ล้มลงตายอยู่ตรงนั้นเอง. ได้ยินว่า
ถึงนางจะนอนตายอยู่ที่บรรณศาลาของตน ก็คงตายในขณะนั้น
แน่นอน. พระโพธิสัตว์ทราบอาการที่มารดาตายแล้ว ก็กระทำ
สรีรกิจ ครั้นดับไฟที่เผาแล้ว ก็บูชาด้วยดอกไม้ป่า พามาณพ
มานั่งที่ประตูบรรณศาลา กล่าวสอนเขาว่า พ่อคุณ ขึ้นชื่อว่า
อสาตมนต์ ที่จัดเป็นวิชาแผนกหนึ่ง โดยเฉพาะไม่มีดอก ก็แต่
ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมาก ไม่รู้จักจืดจาง มารดาของเธอบอกให้
เธอเรียนอสาตมนต์ แล้วส่งตัวมาถึงสำนักเรา ก็ส่งมาเพื่อให้รู้
โทษของหญิงส่วนมาก บัดนี้เธอก็เห็นโทษของมารดาเราโดย
ประจักษ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ พึงทราบเถิดว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมาก
ไม่รู้จักอิ่ม ลามก ดังนี้แล้วส่งตัวไป. เขากราบลาอาจารย์ไป
สำนักมารดาบิดา. ครั้งนั้นมารดาถามเขาว่า เจ้าเรียนอสาตมนต์
จบแล้วหรือ ? เขาตอบว่า ครับคุณแม่. มารดาถามว่า คราวนี้
จักทำอย่างไร จักบวช จักบำเรอไฟ หรือจักอยู่ครองเรือน ?

มาณพกล่าวว่า คุณแม่ขอรับ ผมเห็นโทษของหญิงส่วนมาก
โดยประจักษ์แล้ว ไม่ต้องการอยู่ครองเรือนละ ผมจักบวช. เมื่อ
จะประกาศความประสงค์ของตน จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ขึ้นชื่อว่า หญิงในโลก ส่วนมากไม่รู้จัก
ยับยั้ง หาเวลาแน่นอนไม่ได้ ทั้งร่านรัก เริงชู้
กินไม่เลือก เหมือนไฟที่กินได้ทุกอย่าง. ข้าพเจ้า
จักหลีกละพวกนางไปบวช เพิ่มพูนวิเวก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสา ความว่า ไม่รู้จักยับยั้ง
คือ มีความประพฤติเลวทราม. อีกอย่างหนึ่ง ความสุขท่านรียก
ว่า สาตะ ความสุขนั้นไม่มีแก่หญิงเหล่านั้น ทั้งยังให้ความไม่
สุขใจ แก่คนที่มีจิตปฏิพัทธ์ในตน จึงชื่อว่าไม่รู้จักยับยั้ง อธิบาย
ว่า อยู่ไม่สุข คือเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์. เพื่อจะแสดงความ
ข้อนี้ให้แจ่มแจ้ง พึงนำพระสูตรนี้มาสาธกดังนี้ :-
" หญิงเหล่านั้น ร้อยเล่ห์ หลอกลวง เป็น
บ่อเกิดแห่งความโศก มีเชื้อโรคเป็นตัวอุบาทว์
หยาบคาย ก่อให้เกิดความผูกพันธ์ เป็นชนวน
แห่งความตาย เป็นนางบังเงา ชายใดวางใจใน
นาง ชายนั้นจัดเป็นคนเลวในฝูงคน." ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกิตฺถิโย แปลว่า หญิงในโลก.
บทว่า เวลา ตาสํ น วิชฺชติ ความว่า คุณแม่ขอรับ หญิง
เหล่านั้น กิเลสเกิดขึ้นแล้ว เวลาคือความสำรวม เขตแดนที่

ชื่อว่า ประมาณไม่มีเลย เป็นหญิงกำหนัดหนัก คือ ติดใจใน
กามคุณ ทั้ง 5 ทั้งเป็นผู้คะนอง เพราะประกอบด้วยความคะนอง
3 ประการ คือ คะนองกาย คะนองวาจา เเละคะนองใจ. เพราะ
ขึ้นชื่อว่า ความสำรวมที่มาประจวบอารมย์ มีกายทวารเป็นต้น
มิได้มีในภายในของหญิงเหล่านั้นเลย คือเป็นหญิงหลุกหลิก
เปรียบได้กับจำพวกกา พราหมณมาณพแสดงลักษณะหญิง
ดังพรรณนามานี้.
บทว่า สิขี สพฺพฆโส ยถา ความว่า ธรรมดาไฟที่ถึงการ
นับว่า สิขี เพราะมีเปลวเป็นแฉก ได้เชื้อใด ๆ จะเป็นของไม่
สะอาด มีประเภทเป็นต้นว่า คูถก็ตาม จะเป็นของสะอาด มีประเภท
เป็นต้นว่า เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ก็ตาม น่าปรารถนาบ้าง ไม่
น่าปรารถนาบ้าง ก็แลบเลียกินหมดทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงเรียกว่า กินทุกอย่างฉันใด. แม้หญิงทั้งหลายก็ฉันนั้น
นั่นแหละ จะเป็นคนมีกำเนิดทราม มีการงานทราม เช่นคน-
เลี้ยงช้าง เลี้ยงวัวเป็นต้น ก็ตามเถิด จะเป็นคนมีนกำเนิดสูง
การงานสูง เช่นกษัตริย์เป็นต้น ก็ตามเถิด มิได้คิดถึงความ
เลวทรามและความอุกฤษฐ์เลย เมื่อความชื่นชมด้วยอำนาจ
กิเลสบังเกิดขึ้น ด้วยสามารถแห่งความยินดีในโลก ได้คนประเภท
ไหน ก็เสพได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหมือนกับไฟที่ไหม้
ได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ไฟกินได้ทุกอย่างฉันใด หญิงเหล่านั้น
ก็พึงทราบว่า เป็นอย่างนั้นเหมือนกันแหละ.

บทว่า ตา หิตฺวา ปพฺนชิสฺสาติ ข้าพเจ้าขอหลีกเว้น หญิง
ลามก อันเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์นั้น เข้าป่าบวชเป็นฤาษี.
บทว่า วิเวกมนุพฺรูหยํ ความว่า วิเวกมี 3 คือ กายวิเวก
จิตตวิเวก อุปธิวิเวก ในเรื่องนี้ บรรดาวิเวกทั้ง 3 นั้น ควร
เพิ่มพูน กายวิเวกด้วย จิตวิเวกด้วย. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
(พราหมณมาณพกล่าวว่า) คุณแม่ครับ ผมต้องบวช กระทำ
กสิณบริกรรม ให้สมาบัติทั้ง 8 และอภิญญาทั้ง 5 บังเกิด
แล้ว จักปลีกกายออกจากหมู่ และพรากจิตจากกิเลส เพิ่มพูน
วิเวกนี้ จักเป็นผู้พรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เรื่องเหย้าเรือน
สำหรับผม เลิกกันที.
พราหมณมาณพ ติเตียนหญิงทั้งหลายอย่างนี้ กราบลา
มารดาบิดาบวชแล้ว เพิ่มพูลวิเวกมีประการดังกล่าวแล้ว ได้
เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิง
ทั้งหลาย ไม่รู้จักจืดจาง ลามก มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ให้ทุกข์
อย่างนี้ ทรงแสดงโทษของหญิงทั้งหลาย ประกาศสัจธรรม.
ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. พระ-
ศาสดาทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า มารดามาณพในครั้งนั้น
ได้มาเป็นภิกษุณี ชื่อ ภัททกาปิลานี ในบัดนี้ บิดาของมาณพ
ได้เป็นพระมหากัสสปะ มาณพผู้เป็นศิษย์ ได้มาเป็นพระอานนท์
ส่วนอาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอสาตมันตชาดกที่ 1

2. อัณฑภูตชาดก


ว่าด้วยการวางใจภรรยา


[62] "พราหมณ์ถูกภรรยาผูกหน้า ให้ดีดพิณ
ก็รู้ไม่ทันภรรยา ที่ท่านนำมาเลี้ยงไว้แต่ยังไม่
คลอด ใครจะวางใจในภรรยาเหล่านั้นได้"

จบ อัณฑภูตชาดกที่ 2

อรรถกถาอัณฑภูตชาดกที่ 2


พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวัน-
มหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันนั่นแหละ ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยํ พฺราหฺมโณ อวาเทสิ ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือ
ภิกษุ ที่เขาว่า เธอกระสัน ครั้นภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระ-
เจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย ใคร ๆ
ก็รักษาไม่ได้ ในครั้งก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ถึงจะรักษาหญิงไว้
ตั้งแต่ออกจากครรภ์ ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ แล้วทรงนำเรื่องใน
อดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-